เป็นที่รู้กันดีว่า สื่อโฆษณาในรูปแบบวิดีโอนั้น เป็นสื่อที่ทรงประสิทธิภาพ เพราะมันสามารถสื่อสาร ได้ทั้งภาพและเสียงในเวลาเดียวกัน มันจึงมักดึงดูดความสนใจ และสร้างการจดจำแก่ผู้รับสาร ได้อย่างดีเลยทีเดียว
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ใครๆ
ต่างก็อยากทำ VDO Ad กันยกใหญ่
แต่! ก่อนที่คุณจะยิงโฆษณา VDO ของคุณออกไป
สิ่งสำคัญมากๆเรื่องนึงคือ คุณจำเป็นต้องกำหนด “เป้าหมาย” ก่อน ว่าคุณต้องการให้โฆษณาของคุณ เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจแบบไหน
รวมถึงคุณต้องเลือก
“วัตถุประสงค์ในการลงโฆษณา” (Ad Objective)
ให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่คุณต้องการด้วย
บางคนอยากยิง VDO Ad เพื่อสร้างการรับรู้
บางคนอยากยิงเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ
บางคนอยากดึงลูกค้าไป website
บางคนอยากปิดการขาย
ซึ่งเป้าหมายแต่ละแบบ
จำเป็นต้องเลือก Ad Objective
ที่แตกต่างกันออกไป
เพราะมันจะส่งผลต่อทั้ง
ทางเลือกในการนำส่งโฆษณา
(Delivery optimization)
การเลือกตำแหน่งการแสดงผล
(Placement Option)
การเลือกว่าเราจะจ่ายเงินยังไง
(Billing Option)
และสุดท้ายย่อมส่งผลถึง
ผลลัพธ์จากการโฆษณาด้วย
นั่นจึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า
คุณอยากให้คนเห็น VDO ของคุณเยอะๆ?
หรือคุณอยากให้คนดู VDO ของคุณนานๆ?
เพราะเป้าหมายทั้ง 2 แบบนี้
จะแสดงให้คุณเห็นค่อนข้างชัดเจนว่า
การเลือก Ad Objective ที่แตกต่างกัน
จะนำมาซึ่งต้นทุนและ ผลลัพธ์ทางการตลาดที่แตกต่างกันและคุณเองก็จำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่งเสียด้วย
“ในกรณีที่คุณอยากให้
คนเห็น VDO Ad ของคุณเยอะๆ”
คุณอาจเลือก Ad Objective เป็น
“การเข้าถึง (Reach)”
ซึ่งนั่นหมายถึง คุณกำลังจะบอกให้ระบบ
พยายามนำส่งโฆษณาของคุณ
ไปให้คนเห็นเยอะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
(จะดูหรือไม่ก็แล้วแต่เค้า)
“แต่ในกรณีที่คุณอยากให้
คนดู VDO Ad ของคุณนานๆ”
คุณอาจเลือก Ad Objective เป็น
“การรับชมวิดีโอ (VDO View)”
ซึ่งนั่นหมายถึง คุณกำลังจะบอกให้ระบบ
พยายามนำส่งโฆษณาของคุณ
ไปยังคนที่มีแนวโน้มชอบดู VDO
ซึ่งก็มีโอกาสที่คนเหล่านี้ จะดู VDO ของคุณนานขึ้น
โดยคุณยังสามารถเลือก Option ได้ด้วยว่า
อยากให้ระบบนำส่งโฆษณาของคุณ
ให้เกิดผลลัพธ์เป็นการดู video แบบไหน
(ปัจจุบันเค้ามี 3 ทางให้เราเลือก Optimized ได้แก่ ดูวีดิโอ 2 วินาทีต่อเนื่อง , ดูวิดีโออย่างน้อย10 วินาที และ ThruPlay)
ซึ่งจุดที่ก่อให้เกิดความต่างมันอยู่ตรงนี้ครับ
เพราะการนำส่งโฆษณาไปเพื่อ “ทำให้คนดู video ของคุณจริงๆ” (OBJ : Video View)
ย่อมเกิดขึ้นยากกว่า “ทำให้คนเห็น video เฉยๆ” (OBJ : Reach) อยู่แล้ว
“ถึงแม้อยู่จะภายใต้กลุ่มเป้าหมายเดียวกันก็ตาม”
และยิ่งถ้าคุณใส่เงื่อนไข
ให้ยิงไปหาคนที่รับชม VDO
ของคุณนานขึ้นเท่าไหร่
การตามหาคนแบบนั้นก็ยิ่งยากขึ้น
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้
ทั้งจำนวนครั้งและจำนวนคน
ในการแสดงผลโฆษณาให้คนเหล่านี้
มีจำนวนน้อยกว่า และทำให้
ต้นทุนในการลงโฆษณาสูงกว่า
การเลือกยิงโฆษณาหาใครก็ได้
.
สมมติในกรณีคุณทำโฆษณา
ด้วยเงิน 50 บาท
ถ้าคุณยิงโฆษณา video
ด้วย (OBJ : Video View)
คุณอาจต้องจ่ายค่า impression ถึง 50 บาท (CPM 50)
คือ ทุกๆ 1,000 ครั้งที่โฆษณาของคุณแสดงผลคุณต้องจ่ายเงินให้ Facebook 50 บาท
แต่ถ้าคุณยิงโฆษณา video
ด้วย (OBJ : Reach)
เงินจำนวน 50 บาทเท่ากัน
คุณอาจจะจ่ายค่า impression แค่ 15 บาท (CPM 15)
คือ ทุกๆ 1,000 ครั้งที่โฆษณาของคุณแสดงผลคุณต้องจ่ายเงินให้ Facebook 15 บาท
ซึ่งคุณจะเห็นได้เลยครับว่า
ค่า CPM ของ Ad Objective (OBJ : Video View)
จะสูงกว่า (OBJ : Reach) อยู่หลายเท่าตัว
ซึ่งถ้ามองเผินๆ เหมือนต้นทุนของ
การเลือกให้ระบบนำส่งไปหา
คนที่ดู VDO นานๆ นั้นแพงเหลือเกิน
แต่คุณต้องไม่ลืมนะครับว่าผลลัพธ์ที่คุณได้นั้น
“แตกต่างกัน”
การเลือกนำส่ง VDO ไปหาคนเยอะๆ ต้นทุนอาจไม่สูงก็จริง แต่ระดับการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย นั้นค่อนข้างต่ำ
บางคนเห็น Ad ของเราเพียงเสี้ยววินาที
ซึ่งคงไม่สามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์
เป็นชิ้นเป็นอันอย่างยอดขายได้
ทำให้การเลือกวัตถุประสงค์แบบนี้
เหมาะกับเวลาที่ธุรกิจต้องการ
ให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการรับรู้
หรือจดจำแบรนด์ให้ได้ก็พอ
โดยเน้นทำให้คนเห็นในวงกว้าง
และใช้ความถี่เข้ามาช่วย
ในขณะที่การเลือก
วัตถุประสงค์ให้ระบบยิงไปหา
คนที่รับชม VDO นานๆ
เหมาะกับเวลาที่ธุรกิจ
หวังผลลัพธ์ที่จับต้องได้
อย่างเช่น ยอดขาย / Conversion
หรือต้องการรวบรวมกลุ่มเป้าหมาย
ที่มีแนวโน้มสนใจสินค้าของเราเป็นพิเศษ
เพื่อยิงโฆษณาซ้ำกลับไปหาเค้าอีกที
(Re-targeting)
.
ทุกท่านคงจะพอเห็นภาพแล้วว่า
VDO Ad ตัวเดียวกัน
พอเลือก Ad Objective ที่แตกต่างกัน
ก็จะกระทบกับเรื่องอื่น
ยาวไปเป็นหางว่าวเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลลัพธ์ที่ได้
เพราะฉะนั้นแล้ว การทำความเข้าใจ
Ad Objective แต่ละตัวนั้น
เป็นเรื่องสำคัญมากๆ นะครับ
พยายามเลือกมันให้ตรงกับเป้าหมายที่คุณต้องการ
เพื่อให้ VDO Ad ที่คุณสู้อุตส่าห์ทำมา
โชว์ประสิทธิภาพสูงสุดของมันนะครับ
บอกก่อนนะครับว่า ตัวเลข และ Ad Objective ที่ผมยกมาให้ดูในบทความนี้ เป็นแค่การยกตัวอย่างให้เข้าใจอย่างง่ายๆนะครับ
จริงๆแล้วเรื่องของ Ad Objective ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย เช่น การยิงโฆษณาที่เป็น video ก็ไม่ได้เจาะจงว่า จะต้องยิงด้วย Reach หรือ Video view เสมอไป (คือจริงๆแล้วมันสามารถใช้ได้ทุกอัน)
ซึ่งถ้ามีโอกาสคงจะได้หยิบเรื่องนี้มาพูดกันอีก ในครั้งต่อๆไปนะครับ
#MaxideaStudio
#มีประโยชน์ฝากช่วยแชร์ด้วยนะครับ