เชื่อว่าตอนนี้หลายคนที่ทำการตลาดบน Instagram ไม่ว่าจะเป็น พ่อค้าแม่ค้า, ตัวแทน หรือ Blogger ยังคงใช้ “บัญชีส่วนตัว (Personal Account)” ในการสื่อสารกับลูกค้ากันอยู่
บ้างก็คิดว่ามันโอเคแล้ว
บ้างก็ขี้เกียจเปลี่ยน
บ้างก็คิดว่ามันดูน่าติดตามกว่าบัญชีขายของแบบโจ่งแจ้งเป็นไหนๆ
บอกเลยว่า คุณกำลังคิดผิด!
เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ถ้าคิดลุยบน IG อย่างจริงจัง แต่ยังทู่ซี้ใช้ Personal Account ไม่ยอมเปลี่ยนมาเป็น “บัญชีมืออาชีพ (Professional Account)” จะทำให้คุณเสียโอกาสแบบสุดบรรยาย
ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่า
Professional Account คืออะไร?
บัญชีมืออาชีพ (Professional Account) คือ บัญชีสำหรับคนที่ทำธุรกิจ หรือนำเสนอคอนเทนต์เป็นอาชีพโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีฟีเจอร์และการตั้งค่าเพิ่มเติมที่ช่วยให้ธุรกิจ หรือ creator เข้าถึงและรู้จักผู้คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ใช้รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า รวมไปถึงใช้สร้างยอดขาย
โดย Professional Account จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. บัญชีสำหรับธุรกิจ (Business Account) เหมาะสำหรับคนที่ทำธุรกิจ หรือขายสินค้าเอาจริงเอาจัง
2. บัญชีสำหรับครีเอเตอร์ (Creator Account) เหมาะสำหรับสายสร้างสรรค์คอนเทนต์เป็นอาชีพ อย่าง Influencer, Blogger, ดารา, คนมีชื่อเสียง
เท้าความก่อนว่า Business Account นั้นมีให้เราเลือกใช้นานแล้ว แต่ Creator Account เพิ่งเปิดตัวเมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงแรก คุณสมบัติของ 2 บัญชีนี้ มีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน
บางอย่าง Business ทำได้ แต่ Creator ทำไม่ได้
บางอย่าง Creator ทำได้ แต่ Business ทำไม่ได้
แต่พอเวลาผ่านไป เชื่อว่า ผู้ใช้บัญชีทั้ง 2 แบบ ต่างก็ต้องการให้บัญชีสมบูรณ์มากขึ้น และไม่ได้อยากสลับบัญชีไปมา Instagram จึงปรับเพิ่มฟีเจอร์ให้บัญชีแต่ละประเภท จนกระทั่งปัจจุบันบัญชีทั้ง 2 แบบนี้ ต่างกันไม่มากนัก
โดยวันนี้เราจะคุยถึงทั้งข้อดีร่วมของบัญชีทั้ง 2 แบบ รวมถึงจุดมันแตกต่างกันครับ
ทำไมถึงควรเปลี่ยนมาใช้ Professional Account?
1. ช่วยให้ผู้คนรู้จักธุรกิจมากขึ้น แถมเข้าถึงง่ายขึ้น
เมื่อใช้ Professional Account ในส่วนที่เป็นข้อมูลโปรไฟล์ (Bio) เราสามารถระบุหมวดหมู่ (category) ของบัญชี, ใส่ข้อมูลการติดต่อเพิ่มเติม (เบอร์, อีเมล) รวมถึงใส่ปุ่ม CTA เพื่อให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้น แถมยังติดต่อเราได้สะดวกขึ้นอีกด้วย
ความแตกต่างระหว่าง Business กับ Creator Account
Business Account:
– สามารถใส่ “ที่อยู่” ได้
– สามารถเปลี่ยนปุ่ม “Action Button” เป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ “Contact” ได้
Creator Account:
-ใส่ ที่อยู่ ไม่ได้
– เปลี่ยนปุ่ม “Action Button” ไม่ได้
– มี category ให้เลือกแตกต่างกัน
**สิ่งที่คุณต้องรู้**
บัญชีทั้ง 2 แบบ สามารถเลือก “ซ่อน” Contact info และ Category ได้
ฟีเจอร์นี้มีไว้สำหรับคนที่ไม่ต้องการให้ผู้ติดตามทราบว่าบัญชีของเราเป็น Professional Account ซึ่งอาจจำเป็นสำหรับบัญชีบางประเภท เช่น Influencer หรือ Blogger ที่ต้องการให้บัญชีของตัวเองดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ทำเพื่อธุรกิจจ๋า พอเลือกซ่อนข้อมูลตรงนี้ บัญชีก็จะมีหน้าตาเหมือน Personal Account เป๊ะเลย
2. ช่วยให้จัดการกล่องข้อความ (Direct Message) ง่ายขึ้น
ปัญหาหนึ่งเวลาที่เราใช้ Personal Account ทำธุรกิจ คือ แชทในกล่องข้อความมั่วกันไปหมด ทั้งเพื่อน ทั้งลูกค้า ทั้งพาร์ทเนอร์ จนบ้างครั้งอาจทำให้เราพลาดโอกาสสำคัญไปแบบไม่รู้ตัว
เมื่อใช้ Professional Account เราจะสามารถจัดหมวดหมู่ข้อความแยกเป็น Primary (สำคัญ) กับ General (ทั่วไป) ได้, ปักธง (Flag) ให้ข้อความได้, สร้างข้อความตอบกลับด่วน “Quick Replies” ให้คำถามที่ถูกถามเป็นประจำได้ ซึ่งจะช่วยให้เราจัดการกล่องข้อความได้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น
ความแตกต่างระหว่าง Business กับ Creator Account
Business Account: ต้อง ย้าย/ลบ contact ทีละคน
Creator Account: มีเมนู ย้าย/ลบ contact ที่สะดวกกว่า และจัดลำดับ request ได้
3. เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้
ไฮไลท์สำคัญของบัญชี Professional Account คือ
เราสามารถดูข้อมูลเชิงลึก (Insight) ของกลุ่มเป้าหมายได้ว่า ผู้ติดตามของเรามีช่วงอายุเท่าไหร่ เพศอะไร อยู่ที่ไหน ส่วนใหญ่ออนไลน์วัน/เวลาไหน
และสามารถดูประสิทธิภาพของโพสต์ และ Stories แต่ละตัว ได้อีกด้วยว่า มีคนเห็นมากแค่ไหน จากที่ใด เข้าถึงคนได้เท่าไหร่ และก่อให้เกิดการตอบสนองมากแค่ไหน
นอกจากนี้ ยังดูการเปลี่ยนแปลงของผู้ติดตามเป็น “รายวัน” ได้อีกด้วย โดยจะเห็นจำนวนคนที่ติดตาม เพิ่ม / ลด รวมถึงแสดงโพสต์ที่อาจเป็นสาเหตุของการเพิ่มหรือลดของผู้ติดตามในแต่ละวัน
ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ เป็นประโยชน์อย่างมากต่อธุรกิจ เช่น ช่วยให้เราจะรู้จักผู้ติดตามมากขึ้น รู้ว่าเค้าออนไลน์เวลาไหน รู้ว่าคอนเทนต์แบบไหนที่คนชอบ รู้ว่าตำแหน่งการแสดงผลใดให้ผลตอบรับดี ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เราวางแผนทำคอนเทนต์ได้ ถูกที่ ถูกเวลา และถูกใจกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
4. ลงโฆษณาได้
คงต้องยอมรับว่า ฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้ในโลกการแข่งขันอันโหดร้าย ก็คือ “การโฆษณา” ซึ่งถ้าคุณใช้ Professional Account คุณจะสามารถโปรโมท โพสต์ หรือ Stories เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจของคุณได้ ซึ่งโพสต์ที่ถูกโปรโมทจะแสดงสถานะเป็น “โพสต์ที่ได้รับการสนับสนุน (sponsored)”
5. สร้าง Shopping Post ได้
Business Account สามารถสร้าง Shopping Post หรือ โพสต์ที่อนุญาตให้ธุรกิจแท็กสินค้าลงในโพสต์ได้ ซึ่งพอลูกค้าแตะที่แท็ก ก็จะพาลูกค้าไปยังหน้ารายละเอียดของสินค้าแบบรวดเร็ว ซึ่งปลายทางจะแสดงรูปภาพสินค้า ราคา คุณสมบัติ สินค้าที่มีความเกี่ยวเนื่อง ไปจนถึงลิงก์ที่จะพาพวกเค้าไปยังเว็บไซต์ของเราเพื่อซื้อสินค้าและบริการโดยตรง
ซึ่งส่วนตัวผมว่าฟีเจอร์นี้ออกแบบมาได้ค่อนข้างลงตัวมาก เพราะมันช่วยให้แบรนด์ขายของได้แบบที่ไม่ทำลายธรรมชาติของแพลตฟอร์ม และไม่ทำลายประสบการณ์ของลูกค้า
ด้วยความที่ธรรมชาติของแพลตฟอร์ม IG จะเน้นไปทาง Visual แบรนด์ก็มักจะโชว์รูปสินค้า โชว์ Lifestyle ให้ลูกค้าเพลิดเพลินกับการรับชมภาพสวยๆ ถ้าลูกค้าจะซื้อของ ก็มักจะต้องติดต่อช่องทางอื่น เช่น Inbox ของ Facebook หรือ Line ซึ่งในบางครั้งอาจทำให้เสียโอกาสในการขาย ณ โมเม้นต์นั้นๆ ไป
ฟีเจอร์นี้เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายนั้นได้พอดี โดยลูกค้าได้รับประสบการณ์การเลือกชมสินค้าตามปกติ และถ้าเค้าสนใจ ก็สามารถแตะที่แท็ก เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม และไปถึงขั้นซื้อสินค้าในเว็ปไซต์ได้เลยทันที
ความแตกต่างระหว่าง Business กับ Creator Account
ในขณะที่ Business Account สร้าง Shopping Post ได้
Creator Account สามารถในแท็กสินค้าของแบรนด์ที่ Creator เป็นพาร์เนอร์ด้วยได้ โดยเมื่อคนแตะที่แท็กสินค้า ก็จะให้ประสบการณ์เหมือน Shopping Post ทุกประการ เพียงแต่ปลายทางที่แท็กนำพาไปจะเป็นแบรนด์ของพาร์เนอร์เท่านั้นเอง
ลองนึกภาพว่าคุณเป็น Influencer และมีแบรนด์ A ซึ่งขายกระเป๋ามาขอให้คุณช่วยรีวิวสินค้าให้ คุณก็สามารถโพสต์และแท็กกระเป๋าของแบรนด์ A ได้เลย หลังจากที่แบรนด์ A อนุญาตให้คุณเข้าถึงสินค้าของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน ฟีเจอร์นี้สามารถใช้ได้กับสินค้าที่จับต้องได้เท่านั้น และยังเปิดให้ใช้งานได้ในวงจำกัดครับ
6. สามารถใส่ link ใน Stories ได้
Professional Account ที่มีผู้ติดตามเกิน 10,000 คน และบัญชีผ่านการรับรองจาก IG จะสามารถใส่ link ปลายทางให้กับ Stories ได้ ฟีเจอร์ย่อยนี้เหมือนจะเล็ก แต่เรียกว่ามีความสำคัญพอตัว เพราะเมื่อเราสามารถกระตุ้นให้คนดูเกิดการกระทำได้ทันทีในขณะที่ดูคอนเทนต์ ย่อมมีโอกาสในการสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการได้มากกว่า
7. ร่วมมือกับ Third Party ได้
Business Account สามารถเชื่อมต่อ API กับพาร์ทเนอร์ที่เป็น Third Party ได้ ซึ่งพาร์ทเนอร์เหล่านี้ อาจมีเครื่องมือต่างๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูล จัดตารางคอนเทนต์ ซึ่งช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะนี้ Creator Account ยังไม่มีความสามารถนี้นะครับ
ทุกคนคงเห็นตรงกันแล้วว่า การใช้ Professional Account อำนวยความสะดวก และสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจได้มากกว่าใช้ Personal Account ขนาดไหน
เพราะฉะนั้น คงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก อย่ารอช้า “เปลี่ยนตอนนี้เลยครับ!”
#MaxideaStudio
ประชาสัมพันธ์
สำหรับท่านใดที่อ่านบทความนี้แล้ว สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับการทำโฆษณา Facebook Ads ต้องการพัฒนาความสามารถในการใช้โฆษณาเฟสบุคเพื่อเพิ่มยอดขาย และ สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ทางเรามีคลาสสอนทำโฆษณาเฟสบุ๊ค “แบบกรุ๊ปขนาดเล็ก” เนื้อหาอัดแน่นตลอด 2 วันเต็ม
รอบการสอนถัดไป
• วันพุธ-พฤหัส ที่ 7-8 ตุลาคม 2563
• เรียนกลุ่มละ 15 คน
• สถานที่เรียน : Maxidea Co-Playing Space (ซอยลาดพร้าว 71)