ปี2019 “การทำ VDO” จะเป็นสกิลที่ขาดไม่ได้แล้วจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ขายของบน Facebook
บอกก่อนเลยครับ ใครที่คิดว่าปี 2018
คือปีที่ video บูมแบบสุดๆแล้ว ไม่ใช่แน่ๆครับ
“ปีนี้แค่ซ้อมฮะ…ปีหน้าเนี่ยของจริง”
เพราะอะไรผมถึงพูดแบบนี้?
ลองอ่านบทความนี้ดู แล้วคุณจะเข้าใจครับ
ขอเกริ่นก่อนนะครับ
ถึงไม่มีใครบอก พวกเราก็คงทราบกันดีว่า ทุกวันนี้ VDO คอนเทนต์นั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยการศึกษาจาก Cisco พบว่า ภายในปี 2020 คอนเทนต์ประเภท VDO จะมีสัดส่วนสูงถึง 75% ของข้อมูลทั้งหมดที่โลดแล่นบนมือถือเลยทีเดียว
ซึ่งปัจุบันนี้บน Facebook เอง เราก็จะพบกับ VDO จำนวนมากกว่าเมื่อ 3-4 ปีก่อน หลายเท่าตัว
โดยปัจจัยที่ทำให้ VDO คอนเทนต์ขยายตัวสูงขึ้นขนาดนี้ นั้นเกิดจากหลายข้อ เช่น
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้การถ่าย VDO ที่มีคุณภาพเป็นเรื่องไม่ยากเกินเอื้อม , ระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และที่สำคัญ คือลักษณะพื้นฐานของคอนเทนต์ประเภท VDO ที่สื่อสารผ่านภาพและเสียงได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งมันเข้าใจง่าย และ สามารถดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี
แต่นอกเหนือจากปัจจัยต่างๆ ข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญมากๆอีกข้อหนึ่งที่ทำให้คอนเทนต์ VDO บน Facebook เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง นั่นก็คือ “การผลักดันจาก Facebook เอง”
และนี่คือประเด็นที่เราจะคุยกันในวันนี้ครับว่า Facebook เค้าผลักดัน VDO คอนเทนต์กันเบอร์ไหน? และถ้าเรายังทำ VDO คอนเทนต์ไม่ได้ เราจะเสียโอกาสขนาดไหน? ลุยครับ
“VDO ได้สิทธิพิเศษบนหน้าฟีด”
เริ่มจากการให้ความสำคัญกับ VDO คอนเทนต์ บนหน้าฟีดกันก่อนเลย Facebook เค้ามีการปรับอัลกอรึทึมให้ VDO มีโอกาสถูกมองเห็นมากขึ้นบนหน้าฟีด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง VDO ที่มีคนเสิร์ชหาหรือย้อนกลับมาดูบ่อยๆ จะยิ่งมีโอกาสในการแสดงผลมากขึ้นไปอีก
“การเปิดตัวของ Facebook Watch , Ad Breaks และ Facebook Creator Studio”
Facebook เปิดตัวแทป Watch (ผมจะเรียกว่า Facebook Watch นะครับ) เมื่อเดือน ส.ค. 60 ซึ่งเป็นแทปรวม VDO ที่แยกออกมาจาก News Feed อย่างชัดเจน โดยสามารถใช้งานทั้งบนเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น และทีวี (เริ่มทดลองปล่อยแค่ใน US ก่อน และตอนนี้ใช้ได้ทั่วโลกแล้วเมื่อเดือน ส.ค. 61)
Facebook Watch อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและเลือกดู VDO ที่พวกเค้าสนใจได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็น VDO จากเพจ หรือครีเอเตอร์ที่พวกเค้าชื่นชอบหรือติดตาม , VDO ที่อยู่ในกระแสนิยม , VDO ที่เพื่อนๆให้ความสนใจไปจนถึง VDO ที่ระบบคัดเลือกมาให้เหมาะกับบุคคลนั้นๆ แถมในขณะที่รับชม ผู้ชมยังสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นและพูดคุยกับทั้งผู้ที่รับชมด้วยกัน ไปจนกระทั่งคุยกับครีเอเตอร์ได้ด้วย
เรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์ม VDO ที่ผสมผสานทั้งความเป็นปัจเจกบุคคล (Personalized) และการเชื่อมต่อกับสังคม (Socialized) แบบที่แพลตฟอร์มอื่นให้ไม่ได้
ซึ่งการเปิดตัว Facebook Watch สะท้อนถึงความพยายามอย่างชัดเจนในการกระโดดเข้ามาเป็น streaming VDO แพลตฟอร์ม ชนกับแพลตฟอร์ม VDO ยักษ์ใหญ่อย่าง Youtube แบบจังๆ
และแน่นอนว่าเมื่อมีแพลตฟอร์มสำหรับ VDO แล้ว
มันก็ต้องมี VDO คอนเทนต์ดีๆด้วยถูกต้องมั้ยครับ
Facebook รู้ข้อนี้ดีครับ ว่าเค้าจะต้องพยายามทำยังไงก็ได้ ให้บรรดาครีเอเตอร์เข้ามาสร้างสรรค์วิดีโอคอนเทนต์ใน Facebook กันเยอะๆ
และก็คงจะไม่มีอะไรที่จูงใจได้ดีกว่าเรื่องของรายได้แล้วหละครับ นั่นจึงเป็นที่มาของฟีเจอร์ที่เรียกว่า “Ad Breaks” นั่นเอง
Ad Breaks เป็นช่องทางในการหารายได้ของครีเอเตอร์หรือผู้ผลิตคอนเทนต์ จากโฆษณาที่เข้ามาแทรกใน VDO ที่พวกเค้าผลิตขึ้นมาครับ
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ สมมติคุณเป็นเจ้าของเพจรีวิวอาหารที่มี VDO รีวิวจำนวนมาก คุณสามารถอนุญาติให้ Facebook นำโฆษณามาลงใน VDO ของคุณได้ (อารมณ์เหมือนโฆษณาที่เข้ามาแทรกใน VDO ที่เราเห็นกันบ่อยๆนั่นล่ะครับ)
โดยคุณจะให้ระบบเลือกหรือเลือกเองก็ได้ว่าอยากให้โฆษณาปรากฎตอนไหน รวมถึงคุณสามารถเลือกประเภทหมวดหมู่ของโฆษณาที่จะมาลงได้อีกด้วย ซึ่ง Facebook เค้าก็จะแบ่งรายได้ที่เค้าได้รับจากโฆษณาที่มาลงให้กับคุณด้วย
อย่างไรก็ตาม ครีเอเตอร์ที่จะสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ จะต้องผ่านหลักเกณฑ์ที่ Facebook กำหนดไว้ด้วยนะครับ นั่นก็คือ
1. ต้องมีฐานผู้ติดตามมากกว่า 10,000 คนขึ้นไป
2. ต้องมี VDO ที่มีความยาวอย่างน้อย 3 นาที และมีคนดู VDO นั้นเกิน 1 นาที จำนวน 30,000 views ขึ้นไป ในรอบ 60 วันที่ผ่านมาจนถึงวันที่สมัคร
3. ผ่านเงื่อนไขการสร้างรายได้ของ Facebook (คือไม่ทำผิดกฎต่างๆของเค้า เช่น มาตรฐานชุมชน เป็นต้น)
4. ต้องอยู่ในประเทศและภาษาที่พร้อมให้บริการ (ไทยรวมอยู่ในนั้นเรียบร้อยครับ)
ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า นี่เป็นการผลักดันให้ครีเอเตอร์ที่ผลิต VDO คอนเทนต์แบบจริงๆจังๆ สามารถเข้ามาหารายได้จากตรงนี้ได้ ซึ่งเรื่องนี้มันก็จะเชื่อมโยงไปถึงคุณภาพของคอนเทนต์ที่จะปรากฎบนแพลตฟอร์มด้วยครับ
ไม่พอแค่นั้นครับ นอกเหนือจากฟีเจอร์ในการสร้างรายได้ที่จูงใจให้ครีเอเตอร์เข้ามาผลิตคอนเทนต์แล้ว Facebook ยังเตรียม “เครื่องมืออำนวยความสะดวก” อย่าง “Facebook Creator Studio” ไว้ให้เหล่าครีเอเตอร์ได้ใช้งานกันอีกด้วย
Creator Studio ได้รวบรวมเครื่องมือทั้งหมดที่จะช่วยให้ครีเอเตอร์จัดการสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ VDO ของตัวเองได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการจัดการโพสต์ , การกำหนดเวลา , การเผยแพร่คอนเทนต์ในหลายๆเพจที่ครีเอเตอร์เป็นเจ้าของ , การวัดผลเชิงลึกของคอนเทนต์จากทุกเพจได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปจนถึงการตอบ Inbox และ ความคิดเห็นจากทุกเพจรวมไปถึง IG
นอกจากนี้ Facebook ยังเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ใหม่ๆ ก่อนใครอีกด้วย โดย Creator Studio มีทั้งรูปแบบ website และ application ให้ใช้งานครับ
นอกจากเปิดตัวสิ่งต่างๆข้างต้นแล้ว ล่าสุด เค้ายังเพิ่มทางเลือกในการ Optimized VDO Ad ที่เรียกกันว่า Thruplay ขึ้นมาอีกด้วยนะครับ (การเลือก Optimized แบบนี้ หาก VDO ของคุณมีความยาวไม่เกิน 15 วินาที ระบบจะพยายามนำส่ง VDO ของคุณ ไปยังคนที่มีแนวโน้มดู VDO ของคุณ “จนจบ”)
ซึ่งตรงนี้ ส่วนตัวผมมองว่าการ Optimized แบบ Thruplay นั้น มันมีขึ้นมาให้เลือก เพื่อให้สอดรับกับตัว Ad Breaks คือ ถ้าหากคุณเลือก Optimized VDO Ad ของคุณเป็น Thruplay แล้วเลือก placement เป็น In-stream หรือ Audience Network ก็มีโอกาสสูงที่ VDO Ad ของคุณจะไปขึ้นโฆษณาในรูปแบบของ Ad Breaks ครับ
.
.
จากที่เล่ามาทั้งหมด ทุกท่านคงจะเห็นแล้วว่า Facebook เค้าพยายามผลักดัน Facebook Watch แบบสุดพลัง ซึ่งถ้าตามความเห็นของผม การที่เค้าทุ่มทุนสร้างขนาดนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะ
1. ต้องการขยายบทบาทของแพลตฟอร์มให้ทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยเข้าสู่การเป็นแหล่งรวม VDO ขนาดใหญ่ (หากติดตามข่าว Facebook เค้าก็จะพยายามกินรวบทุกอย่างที่ใหญ่ๆ เข้ามาเป็นของเค้าเองให้หมด)
2. ต้องการเพิ่ม placement ในการลงโฆษณา เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าหน้าฟีดนั้นหนาแน่นแบบสุดๆ ค่าโฆษณาก็แพงขึ้นเป็นเงาตามตัว หากผลักดันให้ Facebook Watch ประสบความสำเร็จได้ พื้นที่ในการลงโฆษณาก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกพอสมควรเลยล่ะครับ
3. ต้องการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของผู้ใช้งาน หลายท่านคงเคยได้ยินเรื่องที่ว่า ผู้ใช้ Facebook มีแต่คนแก่ ซึ่งก็คงปฏิเสธไม่ได้ เพราะผู้ใช้งาน Facebook ส่วนใหญ่เป็นคนอายุ 25 ปีขึ้นไป (ช่วง Gen Y) Facebook จึงต้องการดึงดูดผู้ใช้งานกลุ่มวัยรุ่นหรือ Gen Z เข้ามามากยิ่งขึ้น โดยส่วนหนึ่งผมมองว่า กลยุทธ์การดึงครีเอเตอร์ และ Publisher ในหลายๆ แขนงเข้ามา จะมีส่วนช่วยในการดึงกลุ่มผู้ใช้งานเข้ามามากขึ้น รวมถึงกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาด้วยอีกทางหนึ่งครับ
.
.
สุดท้ายเรามาคุยถึงประเด็นที่เราจั่วหัวกันไว้ครับว่า
ถ้าวันนี้ “เรายังทำ VDO ไม่เป็น” จะเสียโอกาสอย่างไรบ้าง?
โดยส่วนตัวผมมองว่า เราจะเสียโอกาสแน่ๆ
ใน 3 บทบาทหลักๆ ต่อไปนี้
1. เสียโอกาสในฐานะแบรนด์
ในขณะที่คนอื่นเค้าโปรโมทแบรนด์ด้วยสื่อที่ทรงประสิทธิภาพอย่าง VDO กันโครมๆ แต่เรากลับทิ้งโอกาสตรงนี้ไปต่อหน้าต่อตา ด้วยข้อจำกัดแค่ที่ว่า เราทำ VDO ไม่เป็น
2. เสียโอกาสในฐานะผู้ลงโฆษณา
เมื่อเราทำ VDO ไม่ได้ พื้นที่ในการแสดงผลอย่าง Ad Breaks ที่ Facebook เค้าพยายามขยายให้เราเพิ่มขึ้น ก็ดูจะไร้ความหมาย เราก็ยังคงต้องแย่งชิงพื้นที่แต่บนหน้าฟีดกับเค้าต่อไป
3. เสียโอกาสในฐานะครีเอเตอร์
หากเราเป็นเจ้าของเพจ หรือเป็นผู้สร้างคอนเทนต์ แต่เราทำ VDO ไม่ได้ เราก็สูญเสียโอกาสในการหารายได้จาก Ad Breaks ไปเฉยๆเลยครับ
.
ทุกท่านคงเห็นแล้วว่า นับจากนี้ไป
กับคอนเทนต์ประเภทวิดีโอ
“การทำไม่เป็น หรือ ทำไม่ได้ หรือ ไม่สนใจจะทำ” เท่ากับทิ้งโอกาสไปมากมายมหาศาลเลยทีเดียว
ฉะนั้นใครที่ยังไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับการทำ VDO
หรือเรื่องที่เกี่ยวข้องเหล่านี้เลย เริ่มวันนี้ก็ยังไม่สายนะครับ
ปัจจุบันนี้ข้อมูลพร้อมแล้ว เทคโนโลยีพร้อมแล้ว เครื่องมือพร้อมแล้ว แพลตฟอร์มพร้อมแล้ว เราเองก็ต้องพร้อมเช่นกัน
“อย่าตกขบวนรถไฟกันเลยนะครับ”
#MaxideaStudio
#มีประโยชน์ฝากช่วยแชร์ด้วยนะครับ