Facebook Algorithm หรืออัลกอริทึมของ Facebook ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ที่พึ่งพา Organic Reach ในการทำการตลาดต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ การที่โพสต์ของเราไม่ปรากฏในฟีดของผู้ติดตามมากเท่าที่เคย อัตราการมีส่วนร่วมที่ลดลงเหลือเพียง 0.06 เปอร์เซ็นต์ และการใช้ AI ในการจัดอันดับเนื้อหา ล้วนเป็นสัญญาณที่บอกว่านักการตลาดต้องปรับกลยุทธ์ให้ทันสมัย บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญของอัลกอริทึม Facebook และแนวทางการปรับตัวที่จะช่วยให้ธุรกิจคุณยังคงเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมอัลกอริทึม Facebook ถึงเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึม Facebook เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้ใช้ที่เปลี่ยนไปและการแข่งขันในตลาดโซเชียลมีเดีย ก่อนหน้านี้ Facebook ให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาธารณะจากธุรกิจและสื่อข่าว แต่ปัจจุบันแพลตฟอร์มกลับมาเน้นการแสดงเนื้อหาจากเพื่อนและครอบครัวในลำดับแรก เพื่อสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายมากขึ้นสำหรับผู้ใช้ นอกจากนี้ การเติบโตของแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง TikTok ที่มีเนื้อหาวิดีโอสั้นเป็นจุดแข็ง ทำให้ Facebook ต้องปรับกลยุทธ์โดยส่งเสริม Facebook Reels และให้ความสำคัญกับเนื้อหาวิดีโอมากขึ้น การใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning ในการประเมิน “ความเกี่ยวข้อง” ของเนื้อหาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัลกอริทึมมีความซับซ้อนและแม่นยำมากขึ้น ส่งผลให้เนื้อหาที่ไม่ได้คุณภาพหรือไม่สร้างการมีส่วนร่วมจะถูกลดทอนการเข้าถึงลง
การเปลี่ยนแปลงสำคัญของอัลกอริทึม Facebook ที่ต้องรู้
ในปัจจุบัน Facebook ได้ปรับปรุงอัลกอริทึมในหลายด้านที่ส่งผลต่อการทำงานของนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจ การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงหลักมีดังนี้
1. การใช้ AI และ Machine Learning เพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน AI และ Machine Learning กำลังควบคุมการทำงานของอัลกอริทึม Facebook ทุกโพสต์จะได้รับ “คะแนนความเกี่ยวข้อง” จากระบบ AI ที่ประเมินว่าเนื้อหานั้นมีคุณค่าเพียงใดสำหรับผู้ใช้แต่ละคน โพสต์ที่ได้คะแนนสูงเพราะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สร้างการมีส่วนร่วม หรือมีความเกี่ยวข้องสูงจะถูกแสดงในตำแหน่งที่ดีกว่าในฟีด เครื่องมือ AI ยังช่วยให้ผู้ใช้ค้นพบโพสต์ วิดีโอ และการสนทนาที่สอดคล้องกับความสนใจ แม้จะมาจากบัญชีที่ไม่ได้ติดตาม ทำให้ธุรกิจมีโอกาสเข้าถึงผู้ใช้ใหม่มากขึ้น
2. เน้นเนื้อหาท้องถิ่นมากขึ้น
Facebook ได้เปิดตัวแท็บ “Local” ที่จะแสดงเนื้อหาท้องถิ่น เช่น โพสต์จาก Marketplace, Groups และ Events เพื่อให้ผู้ใช้เห็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงหรือเชื่อมต่อกับคนในชุมชนของตนเอง สำหรับธุรกิจท้องถิ่น การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นโอกาสทองในการเข้าถึงคนในพื้นที่ เพราะแพลตฟอร์มจะแสดงเนื้อหาของธุรกิจให้กับคนในท้องถิ่นโดยอัตโนมัติ ปัจจุบัน Meta กำลังทดสอบฟีเจอร์นี้ในเมืองสำคัญ เช่น Austin, New York City, Los Angeles, Washington DC, Chicago, Charlotte, Dallas, Houston, San Francisco และ Phoenix
3. ให้ความสำคัญกับวิดีโอสั้น
เพื่อแข่งขันกับ TikTok Facebook ได้ให้ความสำคัญกับเนื้อหาวิดีโอสั้น โดยเฉพาะ Facebook Reels มากขึ้น วิดีโอจะได้รับ Organic Reach ที่เพิ่มขึ้น ส่งเสริมให้ธุรกิจและครีเอเตอร์สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและง่ายต่อการรับชม ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากเทรนด์นี้โดยการสร้างคลิปสั้นที่มีส่วนร่วมสูง แสดงผลิตภัณฑ์หรือบริการในรูปแบบที่สร้างสรรค์และน่าติดตาม
4. ระบบตรวจสอบเนื้อหาแบบชุมชน
Facebook กำลังทดสอบระบบตรวจสอบข้อเท็จจริงแบบชุมชนที่เรียกว่า “Community Notes” คล้ายกับที่ใช้ใน X (เดิมคือ Twitter) ระบบนี้จะให้ผู้ใช้ในชุมชนช่วยกันตรวจสอบและให้บริบทเพิ่มเติมสำหรับโพสต์ที่อาจทำให้เข้าใจผิด หากผู้ร่วมให้ข้อมูลมีความหลากหลายในมุมมอง อัลกอริทึมจะทำให้หมายเหตุนั้นเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น แต่หากมีสัญญาณของความลำเอียง อัลกอริทึมจะซ่อนจากสายตาสาธารณะ ซึ่งหมายความว่าอัลกอริทึมจะให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่ได้รับการประเมินอย่างหลากหลายมากขึ้น
อัลกอริทึม Facebook ทำงานอย่างไรในปัจจุบัน
การทำงานของอัลกอริทึม Facebook ปัจจุบันอิงตามหลักเกณฑ์หลัก 4 ประการที่ทำงานร่วมกันเพื่อจัดอันดับเนื้อหาที่จะแสดงให้ผู้ใช้เห็น ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องและน่าสนใจที่สุด ซึ่งหลักเกณฑ์เหล่านี้ได้แก่
1. Inventory – การจัดเก็บเนื้อหา
อัลกอริทึมจะพิจารณาจากเนื้อหาที่เพื่อนและเพจที่คุณกดไลค์โพสต์และแชร์ ระบบจะรวบรวมเนื้อหาทั้งหมดที่มีการอัปเดตในช่วงเวลานั้นๆ แล้วนำมาเป็นตัวเลือกในการแสดงผลให้ผู้ใช้
2. Signals – สัญญาณต่างๆ
Facebook จะใช้สัญญาณต่างๆ เช่น ใครเป็นคนโพสต์ เมื่อไหร่ที่มีการโพสต์ ประเภทของเนื้อหา และการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้อื่น สัญญาณเหล่านี้ช่วยให้ระบบเข้าใจบริบทและความสำคัญของเนื้อหาแต่ละชิ้น
3. Predictions – การคาดการณ์
อัลกอริทึมจะประเมินความเป็นไปได้ที่ผู้ใช้จะมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์นั้น เช่น กดไลค์ แสดงความคิดเห็น แชร์ หรือคลิกดูเพิ่มเติม ยิ่งมีโอกาสที่ผู้ใช้จะมีส่วนร่วมสูง เนื้อหานั้นก็จะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า
4. Score – คะแนนความเกี่ยวข้อง
แพลตฟอร์มจะสร้าง “คะแนนความเกี่ยวข้อง” เพื่อผลักดันเนื้อหาที่เกี่ยวข้องไปยังผู้ใช้ คะแนนนี้จะถูกคำนวณจากปัจจัยทั้งหมดข้างต้น และเนื้อหาที่ได้คะแนนสูงจะมีโอกาสปรากฏในฟีดของผู้ใช้มากกว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ Facebook ยังให้ผู้ใช้ปรับแต่งฟีดของตนเองได้ โดยสามารถเลือก “รายการโปรด” ได้สูงสุด 30 คนหรือเพจ ซึ่งเนื้อหาจากรายการโปรดจะปรากฏในตำแหน่งที่สูงกว่า นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถซ่อนโพสต์ พักการติดตาม หรือซ่อนโฆษณาเพื่อลด “คะแนน” ของเนื้อหาที่ไม่ต้องการเห็น
วิธีเพิ่ม Facebook Reach แม้ Organic จะลดลง
แม้ว่า Organic Reach ของ Facebook จะลดลง แต่นักการตลาดยังคงสามารถใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมได้ การปรับตัวและใช้เครื่องมือที่ Facebook มีให้อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ธุรกิจยังคงประสบความสำเร็จในแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งแนวทางที่สำคัญมีดังนี้
1. ใช้ Facebook Page อย่างเชิงรุก
การทำงานกับ Facebook Page ต้องมีความเป็นระบบและต่อเนื่อง เริ่มต้นด้วยการลงทุนใน Page Likes เพราะการโฆษณาเพื่อเพิ่มผู้ติดตามเป็นหนึ่งในรูปแบบการตลาดที่ประหยัดที่สุด เมื่อมีผู้ติดตามมากขึ้น เนื้อหาของคุณจะมีโอกาสปรากฏในฟีดมากขึ้น จากนั้นให้วิเคราะห์เนื้อหาที่ได้ผลดี ดูว่าโพสต์ไหนได้รับการมีส่วนร่วมสูงและโพสต์ไหนถูกละเลย เพื่อนำข้อมูลนี้มาใช้ในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตรงใจผู้ติดตาม
การสร้างเนื้อหาที่มีความหมายและเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเนื้อหาที่เป็นเพียงกลอุบาย เพราะอัลกอริทึมจะส่งเสริมเนื้อหาที่สร้างการสนทนาขึ้นไปในฟีด นอกจากนี้ควรใช้ประโยชน์จาก Facebook Reels เพื่อสร้างเนื้อหาวิดีโอสั้นที่สนุกสนานและน่าติดตาม รวมถึงการใช้ Facebook Stories เพื่อให้ผู้ติดตามได้เห็นมุมมองเบื้องหลังของธุรกิจและสร้างความผูกพันที่แข็งแกร่งขึ้น
2. หลีกเลี่ยงการใช้ Engagement Baiting
Facebook ได้เข้มงวดกับ “Engagement Bait” หรือโพสต์ที่มีจุดประสงค์เพียงเพื่อดึงดูดการมีส่วนร่วมเท่านั้น เช่น โพสต์ที่ขอให้แท็กเพื่อน คอมเมนต์ แชร์ โหวต หรือแสดงความรู้สึก การใช้วิธีการเหล่านี้อาจทำให้โพสต์ของคุณถูกลดการเข้าถึงลง
แทนที่จะใช้ Engagement Baiting ให้มุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจจริงๆ ที่ผู้คนอยากแชร์เองตามธรรมชาติ ทำความเข้าใจกับความต้องการและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย แล้วสร้างเนื้อหาที่ให้ข้อมูลที่มีคุณค่าหรือความบันเทิงที่พวกเขาชื่นชอบ นอกจากนี้ควรโพสต์เนื้อหาที่มีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอ เพราะ Facebook จะติดตามระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้ในการดูโพสต์แต่ละชิ้น หากอัลกอริทึมพบว่าโพสต์ใดได้รับเวลาการดูนานกว่า โพสต์นั้นจะได้รับคะแนนความเกี่ยวข้องที่สูงขึ้น
การใช้ Facebook Messenger ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะข้อมูลจาก Facebook ระบุว่า เมื่อผู้ใช้มีการสนทนากับธุรกิจผ่าน Messenger แล้ว มีโอกาส 53 เปอร์เซ็นต์ที่จะซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจนั้น ดังนั้นการให้บริการลูกค้าผ่าน Messenger จึงเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดที่ดี
3. พิจารณากลยุทธ์โฆษณาเสียเงิน
การโฆษณาเสียเงินบน Facebook สามารถช่วยนักการตลาดเพิ่มการเติบโตและการมีส่วนร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจควรจัดสรรงบประมาณอย่างเป็นกลยุทธ์สำหรับแคมเปญที่มีการกำหนดเป้าหมาย โดยใช้ประโยชน์จากการแบ่งกลุ่มผู้ชม การกำหนดเป้าหมายใหม่ และการทดสอบ A/B เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การผสมผสานระหว่างเนื้อหา Organic ที่มีส่วนร่วมกับกลยุทธ์โฆษณาที่ชาญฉลาดจะช่วยให้ธุรกิจรักษาการมองเห็นที่แข็งแกร่งบน Facebook ได้
หากต้องการลงทุนในโฆษณาเสียเงิน ควรเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ระบบโฆษณาของ Facebook ผ่าน Facebook Ads Manager และ Power Editor เพื่อให้เข้าใจกระบวนการโฆษณาอย่างละเอียด เมื่อเข้าใจแล้วจึงสร้างแคมเปญการตลาดที่มีแนวคิดชัดเจนและรอบคอบ หากรู้สึกว่าการทำโฆษณา Facebook ซับซ้อนหรือใช้เวลามาก ก็สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลหรือบริการจากบุคคลที่สามได้
4. ใช้ Facebook Groups เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
Facebook Groups เป็นเหมือนชุมชนย่อยภายใน Facebook ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ใช้ที่มีความสนใจร่วมกัน แต่ละคนสามารถเข้าร่วมได้สูงสุด 6,000 กลุ่ม จึงเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย หากเข้าร่วม Facebook Group ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ควรแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจอย่างระมัดระวัง โดยเน้นการให้ข้อมูลที่มีคุณค่าแทนการโปรโมทอย่างชัดเจน และปฏิบัติตามกฎของกลุ่มอย่างเคร่งครัด
คุณยังสามารถสร้างกลุ่มที่เน้นไปที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเองและเชิญผู้ใช้เข้าร่วม กลุ่มสามารถทำหน้าที่เป็นฟอรัมสนับสนุนลูกค้าและแหล่งข้อมูลสำหรับลูกค้า การเข้าร่วม Facebook Group อย่างมีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น จะขายตรงให้สมาชิกหรือไม่ จะแชร์ข้อมูลที่มีคุณค่าให้ลูกค้าเดิมหรือไม่ หรือเนื้อหาจะให้ความบันเทิงหรือแรงบันดาลใจแก่สมาชิก การกำหนดเป้าหมายเหล่านี้จะช่วยสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ชัดเจนและวางแผนเส้นทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อตั้งกลุ่มแล้ว ต้องคอยมองหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและเป็นที่นิยมสำหรับสมาชิก โพสต์บทช่วยสอน จัด Q&A รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจ และอื่นๆ เนื้อหาที่หลากหลายจะดึงดูดสมาชิกและช่วยขยายการเข้าถึงของกลุ่ม การสร้างกลุ่มปิดก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี เพราะธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์หรือต้องการสร้างชุมชนแบรนด์ที่แน่นแฟ้นมักใช้กลุ่มปิดที่เข้าได้เฉพาะคนที่ได้รับเชิญ กลุ่มปิดช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปที่สมาชิกและสร้างความรู้สึกพิเศษได้
5. สร้างเนื้อหาที่แท้จริงและมีส่วนร่วม
แม้ว่าการเข้าใจอัลกอริทึมของ Facebook จะสำคัญ แต่อย่าให้ความใส่ใจกับมันมากจนลืมความเป็นแท้จริงของแบรนด์ คุณยังคงสามารถได้ผลลัพธ์ที่ดีหากมุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาที่รู้สึกจริง เกี่ยวข้อง และส่งเสริมการสนทนาที่แท้จริง Facebook ต้องการแสดงโพสต์ที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงให้ผู้คน ดังนั้นการถามคำถาม เชิญชวนความคิดเห็น หรือสร้างสิ่งที่เข้าถึงใจผู้ชมจนอดใจคอมเมนต์ไม่ได้จึงเป็นกุญแจสำคัญ
หากต้องการประสบความสำเร็จผ่านการตลาด Facebook ให้มุ่งเน้นไปที่การมีส่วนร่วมมากกว่า การสร้างเนื้อหาที่กระตุ้นการโต้ตอบที่มีความหมายเป็นสิ่งสำคัญ การวัดผลการมีส่วนร่วมจึงเป็นกุญแจสำคัญ คุณจะรู้ว่ากำลังสร้างเนื้อหาที่ถูกต้องหรือไม่จากจำนวนคอมเมนต์และการแชร์ที่ได้รับ หรือการสนทนาที่เกิดขึ้น เพราะสัญญาณเหล่านี้จะบอกอัลกอริทึมให้เพิ่มการมองเห็น โพสต์ที่ทำให้คนหยุดและคิดมีโอกาสได้รับความนิยมจากอัลกอริทึมมากกว่า
6. ใช้ Audience Insights ของ Facebook
คุณจะไม่รู้ว่าทำผิดหรือถูกตรงไหนหากไม่ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของผู้ชม สำหรับธุรกิจ การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการเข้าชมเว็บไซต์ให้มากขึ้น ส่งเสริมการแปลงสภาพมากขึ้น และเพิ่มการรับรู้แบรนด์โดยรวม เพื่อให้แน่ใจว่าโปรไฟล์ธุรกิจ Facebook บรรลุเป้าหมายเหล่านั้น จึงจำเป็นต้องรู้จักผู้ชมหลักและวิธีที่พวกเขาใช้เนื้อหาในแต่ละวัน
คุณสามารถใช้ Audience Insights ในการทำความเข้าใจรายละเอียด เช่น ช่วงเวลาที่มีกิจกรรมสูงสุด เพื่อที่จะได้จัดตารางโพสต์ให้เหมาะสม แต่ก็ควรทดลองกับช่วงเวลาต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมด้วย การมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับข้อความที่จะสะเทือนใจกลุ่มเป้าหมายและปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
กลยุทธ์เสริมสำหรับ Facebook Marketing ยุคใหม่
นอกเหนือจากการปรับตัวให้เข้ากับอัลกอริทึมแล้ว ยังมีกลยุทธ์เสริมที่จะช่วยให้การทำ Facebook Marketing ของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การใช้กฎ 5:3:2 ในการโพสต์เนื้อหาเป็นแนวทางที่ดี คือ ใน 10 โพสต์ ให้ 5 โพสต์เป็นเนื้อหาภายนอกที่มีคุณค่า 3 โพสต์เป็นเนื้อหาของตนเองที่เกี่ยวข้อง และ 2 โพสต์เป็นเนื้อหาที่สนุกสนานและให้ความบันเทิง การแบ่งสัดส่วนแบบนี้จะช่วยให้ผู้ติดตามไม่เบื่อหน่ายกับการโปรโมทมากเกินไป
การทำ Facebook Live Q&A เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการมีส่วนร่วมกับลูกค้า ผู้ที่อาจเป็นลูกค้า ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และคนอื่นๆ ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เครียด การถ่ายทอดสดช่วยสร้างความใกล้ชิดและความน่าเชื่อถือ ทำให้แบรนด์ดูเป็นมิตรและเข้าถึงได้มากขึ้น
การติดตามเทรนด์และการปรับตัวอย่างต่อเนื่องก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะ Facebook มักจะมีการอัปเดตและเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมเป็นระยะ นักการตลาดที่ประสบความสำเร็จจะต้องคอยติดตามข่าวสารและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น รวมถึงการทดลองกับฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ Facebook เปิดตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสที่อาจเกิดขึ้น
สุดท้าย การสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์กับผู้ใช้อื่นๆ บน Facebook ก็มีส่วนช่วยในการเพิ่มการเข้าถึง การมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ของคนอื่น การตอบกลับคอมเมนต์อย่างสม่ำเสมอ และการสร้างชุมชนรอบๆ แบรนด์จะช่วยให้เกิด Organic Reach ที่แท้จริงและยั่งยืน