5 มุมมองการทำการตลาดบน Facebook ในทศวรรษใหม่

อีกไม่กี่วัน พวกเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ปี 2020
ทศวรรษใหม่นี้ดูจะท้าทายพอสมควรสำหรับคนทำธุรกิจ หลายท่านมองหาเทรนด์ในปีหน้าว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จะได้ตั้งหลัก ตั้งตัวกันถูก

สำหรับการทำการตลาดบน Facebook ถ้าถามในมุมมองของผม สิ่งที่จะเกิดในปีหน้า เหมือนกับเป็นการต่อยอดไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปีนี้ แต่เป็นเวอร์ชั่นขั้นกว่า

นั่นแปลว่าคนที่ไม่ขยับมาตั้งแต่ปีก่อน ปีหน้าคุณอาจตามคนอื่นไม่ทันแล้วจริงๆ

ซึ่งนี่คือสรุป 5 มุมมองส่วนตัว เกี่ยวการทำตลาดบน Facebook ในปี 2020 ครับ

1. การเปลี่ยนแปลง คือ การปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานใหม่

ปีที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่า Facebook มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากไม่ว่าจะเป็น ระบบ นโยบาย มาตรฐาน เครื่องมือ ตัวชี้วัด ไปจนถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ เสมือนเป็นปีแห่งการแก้ปัญหาและปิดจุดบอดต่างๆ ซึ่งน่าจะยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

ส่วนตัวผมมองว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจหรือน่าหวั่นใจอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนเป็นการปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานใหม่ซึ่งคนทำการตลาดบนแพลตฟอร์มนี้ต้องทำใจยอมรับ เตรียมรับมือ และปรับตัวสู้มันให้ได้ เพราะการบ่น ไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้นมา

ที่สำคัญ ไม่มีใครมานั่งเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่แย่กว่าหรอกครับ ที่แพลตฟอร์มเปลี่ยน ก็เพื่อให้สุดท้ายแล้ว ตัวเค้าเองอยู่ได้ ธุรกิจอยู่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือผู้บริโภคอยู่ได้เพราะถ้าขาดผู้บริโภคไป ก็ตายกันหมดแน่นอน

ก่อนเข้าปีหน้าผมขอชวนให้เราปรับใจมองเรื่องนี้กันใหม่

แทนที่จะกลัวการเปลี่ยนแปลง

อยากให้มองว่ามันคือความท้าทาย และเป็นโอกาสของคนที่ปรับตัวได้ก่อน

บอกกับตัวเองไปเลยว่าจะเปลี่ยนแค่ไหนก็มา พร้อมรับเสมอ!”

2. ความเป็นส่วนตัว คือ ช่องทางในการเข้าถึง

สิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลท์สำคัญของการเปลี่ยนแปลงทั้งทางฝั่ง Facebook และฝั่งผู้บริโภค คือเรื่องเกี่ยวกับ “ความเป็นส่วนตัว (privacy)”

หลังจากที่ Facebook เจอปัญหาข้อมูลรั่วไหล เค้าก็พยายามแก้ไขภาพลักษณ์เรื่องนี้อย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความโปร่งใส และความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

ซึ่งปัญหานี้ ยังเป็นชนวนให้ทางฝั่งผู้บริโภคตระหนัก และตื่นตัวเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลของตนมากขึ้น เริ่มใช้แพลตฟอร์มด้วยความระมัดระวังกว่าเก่า รวมถึงต้องการพื้นที่ในการแชร์สิ่งต่างๆ ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

Facebook ได้พยายามทำ 2 เรื่องใหญ่ๆ ควบคู่กันเพื่อแก้ไขปัญหา และรองรับความต้องการตรงนี้

เรื่องแรก คือทำให้ผู้บริโภครู้สึกปลอดภัย

โดยการเพิ่มความโปร่งใส รวมถึงบังคับใช้นโยบายและมาตรฐานชุมชนอย่างเคร่งครัดมากขึ้น

ซึ่งทำเอาธุรกิจผวาไปตามๆ กัน เพราะอาจไม่สามารถใช้แพลตฟอร์มหรือใช้ข้อมูลของลูกค้าได้ตามอำเภอใจอย่างที่ผ่านมา

ตรงจุดนี้ ขอเรียนตามตรงว่า เราทำอะไรไม่ได้ นอกจาก “ทำใจ” และปรับตัวให้คุ้นชิน เพราะตราบใดที่เราทำการตลาดอยู่บนแพลตฟอร์มนี้ เราก็ต้องเคารพกฎของเค้า และต้องไม่ลืมว่ากฎมีไว้รักษาผู้ใช้ซึ่งเป็นฐานลูกค้าของเรานั่นล่ะครับ

เรื่องที่ 2 คือสนับสนุนพื้นที่แห่งความเป็นส่วนตัว

ในงาน F8 (Facebook Developer Conference) พี่มาร์กย้ำชัดเจนว่าจะผลักดันเรื่องของ “Private Messaging” และ “Facebook Groups” อย่างเอาจริงเอาจัง ซึ่งก็พิสูจน์แล้วในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเป็นเทรนด์ในการทำการตลาดบนแพลตฟอร์มนี้ต่อไป ซึ่งผมมองว่าเป็นโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคที่น่าสนใจ

เราต้องวางแผนแล้วว่า จะทำอย่างไรถึงจะสามารถดึงลูกค้าเข้ามาอยู่ใน funnel และหาวิธีกรองให้เจอคนที่เค้าสนใจและเต็มใจที่จะคุยกับเราจริงๆ

จากนั้นติดต่อกับเค้าผ่านพื้นที่ที่เค้าสะดวกใจอย่าง Messenger หรือ Groups ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เราติดต่อกับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้นแล้ว ยังช่วยลดทอนภาระค่าโฆษณาได้อีกทางหนึ่งด้วย

ปีหน้า ใครหลับหูหลับตาพึ่งแต่โฆษณาอย่างเดียว อาจไปต่อไม่ไหวแล้วนะครับ

3. ข้อมูล คือ ปัจจัยที่ห้ามขาด

เราได้ยินกันจนเบื่อว่า Data เป็นเรื่องสำคัญ และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่

แต่ที่น่ากลัวคือ จนกระทั่งวันนี้ หลายธุรกิจก็ยังดำเนินไปแบบที่ไม่เก็บข้อมูลลูกค้า ไม่เก็บสถิติของธุรกิจ ไม่เก็บอะไรเลย!

ปีหน้า เราต้องเลิกสงสัยได้แล้วว่า จะเก็บข้อมูลอย่างไร?

แต่ต้องเปลี่ยนมาถามตัวเองว่าทำไมเราถึงเก็บข้อมูลไม่ได้เสียที?” ทั้งที่มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกมากมายขนาดนี้

ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าข้อมูลทรงพลานุภาพขนาดไหน ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของโลกเป็นมหาอำนาจได้ก็เพราะเค้ามีข้อมูลในมือ

ผมจะไม่คุยไปไกลถึงขนาด big data หรือ machine learning คุยแค่ในวิสัยที่เราทำได้ว่า ขอให้ทุกคนเก็บข้อมูล รู้จักวิเคราะห์ และใช้ประโยชน์จากมันให้ได้ก่อนก็พอ

จำไว้นะครับ ข้อมูล คือ ปัจจัยชี้เป็นชี้ตาย ที่ถ้าใครยังขาด มีโอกาสพังจริงๆ ไม่ได้ขู่!

4. ระบบ คือ ตัวช่วยทุ่นแรงอัจฉริยะ

ระบบ และแพลตฟอร์มต่างๆ นับวันจะยิ่งฉลาดขึ้นทุกที เอาแค่ Facebook เอง มีตัวช่วยจัดสรรทรัพยากรให้เราแบบอัตโนมัติเต็มไปหมด เช่น ตัวช่วยจัดการงบประมาณระดับแคมเปญ(CBO) ตัวช่วยประกอบร่างชิ้นงานโฆษณา (Dynamic Creative) ตัวช่วยวางตำแหน่งการแสดงผล (Automatic placement) หรือ บางทีเรายิงโฆษณาไปแบบไม่ใส่ interest อะไรเลย ระบบก็ยังไปตามหาลูกค้าให้เราได้ตรงกลุ่ม

ยังไม่นับตัวช่วย plug in อื่นๆ อย่าง chatbot, ระบบช่วยดูแลร้านค้า, ระบบ CRM ฯลฯ

สิ่งที่ผมกำลังจะบอกก็คือ ในทศวรรษหน้าที่กำลังจะมาถึงคุณต้องเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากเครื่องทุ่นแรงเหล่านี้ให้เต็มที่

ทำความเข้าใจตัวช่วยของคุณให้ดี วางแผนใช้มันอย่างเหมาะสม รู้ว่าเวลาไหนควรปล่อยให้ตัวช่วยทำงาน เวลาไหนควรลงมือเอง

อย่ามัวเสียเวลาอยู่กับการทำอะไรที่ตัวช่วยทำแทนคุณได้ เอาเวลาไปพัฒนาอย่างอื่นดีกว่าครับ

5. Touch point คือ กุญแจสำคัญ

โลกนี้ไม่ได้มีแค่ Facebook

อย่าดึงดันที่จะทำการตลาดอยู่แค่บนแพลตฟอร์มนี้ จนลืมว่าจุดสัมผัสกับผู้บริโภค (touch point) นั้นมีได้หลากหลาย

ปัจจุบันเวลาคนจะซื้อของสักชิ้น
เค้าอาจเริ่มจากเห็นสินค้าครั้งแรกใน Facebook
เห็นรอบสองใน Instagram
เกิดสนใจไปเสิร์ชหาข้อมูลใน google
เข้าไปดู website ของเรา
ดูวิดีโอสาธิตสินค้าใน youtube
ไปสืบราคาต่อใน Lazada
จนสุดท้ายมาตัดสินใจซื้อใน Messenger

เส้นทางการซื้อของลูกค้าหลากหลายแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่ละธุรกิจ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามันซับซ้อนขึ้นทุกที touch point ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

ผมไม่ได้จะมาแนะนำให้ทุกคนทำการตลาดหว่านแหไปทั่ว
แต่อย่างน้อยวันนี้ คุณต้องแกะออกแล้วว่า ธุรกิจและลูกค้าของคุณ มีจุดสัมผัสกันตรงไหนบ้าง? เพื่อที่จะได้ศึกษาและเลือกเตรียมความพร้อมถูก

สมมติว่าวันนี้คุณถนัดทำการตลาดบน Facebook แต่คุณรู้แน่แก่ใจว่าลูกค้าอยู่บน Google ด้วย

ถ้าคุณอยากขยายตลาดไปมากกว่านี้ คุณก็หนีไม่พ้นต้องศึกษาการทำตลาดบน Google จริงไหม?

การเคลียร์ touch point ให้ชัด จะเป็นไกด์นำทางให้เราเดินไปอย่างถูกทิศถูกทาง และถ้าเราพร้อมในทุกจุด จะสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้า เพิ่มโอกาสในการขายให้เราอีกหลายเท่า

รู้ว่าลูกค้าอยู่ที่ไหน ตามหาเค้าให้เจอ หรือให้เค้าตามคุณให้เจอ รับรองว่ายอดขายไม่หนีไปไหนแน่นอน

และนี่ก็คือ 5 มุมมองส่วนตัวของผมกับการทำการตลาดบน Facebook ในทศวรรษหน้า ซึ่งผมว่าเป็นยุคที่ต้องใช้ skill ในการเรียนรู้และปรับตัวมากกว่ายุคไหน

โลกเดินเร็วมาก เราต้องก้าวให้ทัน และขอให้ก้าวนั้นเป็นก้าวที่มั่นคง สู้กันสุดใจในปีหน้านะครับ!

#Maxideastudio

มีประโยชน์ฝากช่วยแชร์ด้วยนะครับ #MaxideaStudio

Facebook
Twitter
Email

ประชาสัมพันธ์

สำหรับท่านใดที่อ่านบทความนี้แล้ว สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับการทำโฆษณา Facebook Ads ต้องการพัฒนาความสามารถในการใช้โฆษณาเฟสบุคเพื่อเพิ่มยอดขาย และ สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ทางเรามีคลาสสอนทำโฆษณาเฟสบุ๊ค  “แบบกรุ๊ปขนาดเล็ก” เนื้อหาอัดแน่นตลอด 2 วันเต็ม

รอบการสอนถัดไป

•   วันพุธ-พฤหัส ที่ 7-8 ตุลาคม 2563
•   เรียนกลุ่มละ 15 คน
•   สถานที่เรียน : Maxidea Co-Playing Space (ซอยลาดพร้าว 71)

บทความล่าสุด

Dpoint Holdings Co.,Ltd (Maxideastudio)

344 ซ.สุคนธสวัสดิ์ 14 ลาดพร้าว Bangkok Thailand

Call (+66) 095-7922929

www.maxideastudio.com

ชัยพร อุดมชนะโชค

Founder Of Maxideastudio
Digital Marketer l Content Creator l Speaker

© 2024 MaxideaStudio. All Rights Reserved.