Facebook เค้าเปิดตัวฟีเจอร์ A/B test มาพักใหญ่แล้ว แต่ผมก็ยังเห็นคนใช้กันค่อนข้างบางตา บางคนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่บนโลก 5555 (ใครยังไม่รู้จักกลับไปอ่านโพสนี้ก่อนนะครับ) ซึ่งผมก็ไม่ทราบหรอกครับว่าสาเหตุเกิดจากอะไร เพราะปกติคนไม่เห็นความสำคัญของการทดสอบ? หรือคนเห็นอะไรแปลกๆ แล้วกลัวไม่กล้าลองใช้?
ซึ่งสำหรับผมน่าจะเป็นเคสหลังมากกว่า เพราะก่อนจะมีฟีเจอร์นี้ ผมก็ test โฆษณาแบบ manual มาตั้งนานแสนนาน เพราะงั้นก่อนจะลองใช้ ผมก็สงสัยก่อนเลยว่าไอ้ฟีเจอร์นี้ มันต่างจากที่เรา test เองตรงไหน เจ๋งกว่ายังไง ทำไมเราต้องใช้มันด้วย? วันนี้ผมเลยไปหาคำตอบมาฝากกันครับ เผื่อใครที่ยังลังเลว่าจะลองใช้ดีมั้ย จะได้ตัดสินใจง่ายขึ้น ลุยกันเลยครับ
1. กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการทดสอบไม่ซ้อนทับกัน
หากคุณใช้ A/B test ของ Facebook ระบบจะแบ่งกลุ่มเป้าหมายของคุณออกเป็นกลุ่มที่ไม่ซ้อนทับกัน คิดง่ายๆ คือ ไม่ว่าคุณจะ test อะไร กลุ่มเป้าหมาย 1 คน จะเห็นโฆษณาของคุณเพียง 1 เวอร์ชั่นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้แน่ใจว่าการทดสอบเป็นไปอย่างยุติธรรม และชุดโฆษณาแต่ละชุดได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกันในการประมูล
ต่างจากการที่คุณทดสอบด้วยตัวเองแบบ manual ซึ่งกลุ่มเป้าหมายมีโอกาสซ้อนทับกัน และระบบอาจนำส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายคนเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์บิดเบือนได้
เช่น หากคุณอยาก test ว่าระหว่าง Facebook กับ Instagram แพลตฟอร์มไหนให้ผลลัพธ์ดีกว่า ระบบอาจนำส่งโฆษณาของคุณไปให้นาย A เห็นทั้งใน Facebook และ Instagram ซึ่งการเห็นโฆษณา 2 รอบ อาจทำให้พฤติกรรมของนาย A เปลี่ยนไป เช่น นาย A อาจจะรู้สึกว่าเห็นโฆษณาจนเบื่อและมีผลตอบรับในทางลบ หรือในทางกลับกัน อาจทำให้นาย A ชอบสินค้ามากขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลลัพธ์นั้นบิดเบือน เพราะเกิดขึ้นจากทั้ง 2 ตัวแปรประกอบกัน ไม่ใช่จากตัวแปรใดตัวแปรหนึ่ง นอกจากนี้ ถ้ากลุ่มเป้าหมายที่คุณใช้ทดสอบ overlap กัน อาจส่งผลให้ชุดโฆษณาที่มีประสิทธิภาพด้อยกว่า มีโอกาสน้อยกว่าในการเข้าประมูล ทำให้สุดท้ายแล้วคุณไม่ได้คำตอบที่คุณต้องการเพราะชุดโฆษณาที่ต้องการทดสอบแสดงผลได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นครับ
2. มั่นใจได้ว่าใช้งบตามที่ต้องการ
ข้อนี้ต่อจากข้อข้างบนเลยครับ เมื่อ A/B test ของ Facebook เค้าแบ่งกลุ่มเป้าหมายไม่ให้ซ้อนทับกันชัดเจนขนาดนี้ ก็ทำให้เรามั่นใจได้ว่า งบที่เราต้องการใช้ในการทดสอบอยู่ถูกที่ถูกทาง แยกเงินให้กับแต่ละตัวแปรชัดเจนไปเลย ไม่เอามาใช้ปะปนกัน
3. ไม่ต้องสร้างชุดโฆษณาหลายชุดให้เมื่อย
หากคุณใช้ A/B test ของ Facebook ในหนึ่งตัวแปรที่คุณต้องการทดสอบ คุณสามารถทดสอบชุดโฆษณาหรือโฆษณาได้สูงสุดถึง 5 เวอร์ชั่น เช่น ถ้าคุณอยากทดสอบกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน 5 กลุ่ม เพื่อดูว่าใช้กลุ่มเป้าหมายไหนดีที่สุด คุณสามารถทำได้ทันทีผ่านการเซตโฆษณาเพียงแค่ครั้งเดียว ไม่ต้องคอยไปนั่ง duplicate ใหม่หลายๆ ทีให้เสียเวลาครับ
4. หาผู้ชนะให้เราอัตโนมัติ
A/B test ของ Facebook จะหาผู้ชนะในการทดสอบให้เราแบบอัตโนมัติเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการทดสอบ (หรือเมื่อระบบได้ผลลัพธ์ก่อนเวลาที่กำหนด) แถมยังใจดีส่งอีเมลมาแจ้งเราอีกด้วย
ช่วยให้เราไม่ต้องมานั่งติดตามดูผลลัพธ์ตลอดเวลาเหมือนการทดสอบแบบ manual แถมยังช่วยฟันธงผลลัพธ์ให้กับคนที่ยังอ่าน report โฆษณาไม่คล่องได้อีกด้วย
5. เชื่อถือได้ในทางสถิติ
Facebook เค้าตัดสินผู้ชนะจากชุดโฆษณาที่ให้ต้นทุนต่อผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ต่ำที่สุด โดยใช้ข้อมูลทั้งจากการทดสอบของเราโดยตรงและจากสถานการณ์จำลองจำนวนมากเพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งในทางสถิติมันเพิ่มระดับความเชื่อมั่น (Confidence Level) ให้แก่ผลลัพธ์ของเราได้ดีกว่าผลลัพธ์จากการรันแบบ manual ซึ่งวัดจากแค่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งอาจถูกบิดเบือนจากสภาพแวดล้อม ณ ขณะนั้น
โดย Confidence Level บ่งบอกถึง เปอร์เซ็นต์ของโอกาสที่คุณจะได้รับผลลัพธ์เหมือนเดิมหากคุณทำการทดสอบอีกครั้ง อย่างในตัวอย่าง report ด้านล่าง เค้าระบุมาว่า ผลลัพธ์มี confidence level อยู่ที่ 85% แปลว่า ถ้าคุณรันการทดสอบนี้อีกครั้ง มีโอกาส 85% ที่ Ad set ที่ 1 จะชนะเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ยิ่งค่า confidence level สูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างความมั่นใจว่าเราสามารถนำผลลัพธ์นั้นๆ ไปใช้วางกลยุทธ์ต่อได้ครับ

สิ่งที่อยากฝากไว้
ทุกท่านคงจะเห็นแล้วว่า A/B test ของ Facebook เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทดสอบโฆษณาให้เราได้เป็นอย่างดี ช่วยให้เราประหยัดเวลา อีกทั้งยังสามารถควบคุมสภาวะแวดล้อมในการทดสอบ ช่วยให้เราได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเราก็ยังคงต้องการ skill แบบ manual อยู่ดีครับ เพราะก่อนที่เราจะสร้างการทดสอบใดๆ เราก็ต้องคิดมาเองประมาณนึงแล้วว่าตัวแปรที่เราต้องการทดสอบนั้นมีโอกาสที่จะส่งผลต่อผลลัพธ์จริงมั้ย หรือแม้แต่หลังจากการทดสอบ ถึงเค้าจะบอกผู้ชนะมาให้เราจะๆ แต่เราก็ควรที่จะอ่าน report ให้เป็นอยู่ดี เพราะเราต้องไม่ลืมว่า A/B test ของ Facebook เค้าตัดสินผู้ชนะจากต้นทุนต่อผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์เท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วภายใต้ผลลัพธ์ในการทำโฆษณาทั้งหมดที่ได้มา มันอาจมีอะไรน่าสนใจมากกว่านั้นก็เป็นได้ เช่น ในตัวอย่างที่ผมโชว์ไว้ด้านบน ถึงแม้ Ad Set ที่ 1 จะเป็นผู้ชนะ เพราะมีต้นทุนต่อ view content ต่ำกว่า แต่ถ้าเราดูเปรียบเทียบ จะเห็นได้ว่าผลมันก็ไม่ได้ห่างกันมากนัก ถ้าไปดูรายงานจริงๆ บางที Ad Set ที่ 2 อาจก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างอื่นมากกว่าก็เป็นไปได้ (เช่น ยอดขาย , ปริมาณการทัก inbox , คนคอมเมนต์ใต้โพสต์ เป็นต้น) กลายเป็นว่าโดยรวมแล้ว Ad Set ที่ 2 อาจเวิร์คกว่า หรือ ในทางปฏิบัติมันอาจเวิร์คทั้งคู่ ซึ่งการที่เราจะทราบได้ก็ต้องใช้ skill และประสบการณ์แบบ manual นี่ล่ะครับ
สิ่งที่อยากจะฝากไว้คือ การมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกยังไงมันก็ดีอยู่แล้วครับ เพียงแต่เราต้องใช้มันด้วยความรอบคอบ ยิ่งสะดวก ยิ่งเร็วมากเท่าไหร่ เราก็ต้องยิ่งคิดให้ถี่ถ้วนทั้งก่อนใช้และหลังใช้นะครับ
มีประโยชน์ฝากช่วยแชร์ด้วยนะครับ #MaxideaStudio
ประชาสัมพันธ์
สำหรับท่านใดที่อ่านบทความนี้แล้ว สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับการทำโฆษณา Facebook Ads ต้องการพัฒนาความสามารถในการใช้โฆษณาเฟสบุคเพื่อเพิ่มยอดขาย และ สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ทางเรามีคลาสสอนทำโฆษณาเฟสบุ๊ค “แบบกรุ๊ปขนาดเล็ก” เนื้อหาอัดแน่นตลอด 2 วันเต็ม
รอบการสอนถัดไป
• วันพุธ-พฤหัส ที่ 7-8 ตุลาคม 2563
• เรียนกลุ่มละ 15 คน
• สถานที่เรียน : Maxidea Co-Playing Space (ซอยลาดพร้าว 71)