ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน วิธีการสื่อสารที่ยังคงประสิทธิภาพและสร้าง deep engagement ได้ดีเสมอมา นั่นก็คือ “การเขียน” ลองคิดดูว่า คนที่เค้าจะอ่านโฆษณาหรือบทความของคุณจนจบได้นั้น เค้าก็ต้องมีความสนใจในสินค้าหรือสิ่งที่คุณนำเสนออยู่พอสมควรเลย จริงมั้ยครับ? และนี่ล่ะคือสิ่งที่ผมเรียกว่า deep engagement หรือ การมีส่วนร่วมในระดับที่ลึกลงไป การมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ที่ไม่ใช่แค่เพียงการกดไลค์ แต่เค้ากำลังสนใจสิ่งที่คุณกำลังบอกอยู่จริงๆ การเขียนเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำสื่อแทบทุกประเภท ไม่จำกัดเพียงแค่ในงานเขียนเท่านั้น เพราะหากคุณจะทำวิดีโอ คุณก็ต้องเขียนบทก่อนหรือหากคุณจะคุยกับลูกค้า
คุณก็ต้องเตรียมเขียนคำถาม-คำตอบเอาไว้ก่อนสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ทักษะด้านการเขียนร่วมด้วยทั้งสิ้น วันนี้ผมจึงอยากนำประเด็นเรื่องงานเขียนมาคุยกัน โดยจะพูดถึงงานเขียนสองประเภทที่ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน นั่นก็คือ Copywriting และ Content Writing
Copywriting VS Content Writing ต่างกันอย่างไร
มาดูกันครับว่างานเขียนสองแบบนี้มันแตกต่างกันอย่างไร? และในการทำธุรกิจ เราควรใช้งานเขียนแบบไหน? เริ่มจากแบบแรก
Copywriting คืออะไร
คนที่อยู่ในวงการโฆษณาหรือการตลาดคงคุ้นเคยกับคำนี้กันดี Copywriting ก็คือ งานเขียนข้อความโฆษณา นั่นเองครับ
ลักษณะทั่วไป
Copywriting มักอยู่ในรูปแบบ Short form ที่มีความกระชับ เข้าใจง่าย ตรงประเด็น บอกชัดว่าสินค้าและบริการของเราจะเข้าไปแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้า และที่สำคัญมักจะกล่าวถึงแบรนด์อย่างชัดเจน พูดง่ายๆ ก็คือ การโฆษณากันแบบโจ่งแจ้งนั่นล่ะครับ
ซึ่งอย่างไรก็ตาม บางที copywriting อาจเขียนในรูปแบบ Long form ก็ได้ เช่น การเล่าเรื่องยาวเพื่อกระตุ้นอารมณ์ให้ผู้รับสารตัดสินใจ เป็นต้น
เรามักเห็นงานเขียนประเภทนี้มากมายในชีวิตประจำวัน ทั้ง Online Ad อย่าง โพสต์ขายสินค้าใน Social Media, อีเมลนำเสนอสินค้า, Landing Page, Banner และ Offline Ad อย่างป้ายโฆษณาต่างๆ เป็นต้น
เป้าหมาย
เป้าหมายของการเขียน copywriting คือ เพื่อจูงใจหรือชักจูงให้ผู้รับสารเกิดการกระทำอะไรบางอย่างตามที่ผู้เขียนต้องการ เช่น ซื้อสินค้า, ลงทะเบียน, สมัครสมาชิก, ตอบแบบสอบถาม เป็นต้น
Skill ที่ต้องมีในการเขียน copy
การจะเขียน copy ที่ดี หรือ copy ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการกระทำได้ สิ่งแรกที่สำคัญมากๆ คือผู้เขียนจะต้องเข้าใจผู้รับสารเป็นอย่างดี
ต้องทำการศึกษามาอย่างละเอียดว่า ผู้รับสาร (ลูกค้า) เป็นใคร ต้องการอะไร หรือมีปัญหาที่แก้ไม่ตกอย่างไร ต้องเข้าใจเส้นทางการซื้อของลูกค้า (Buyer’s Journey) ว่าเค้ามีขั้นตอนในการตัดสินใจซื้อของอย่างไรบ้าง
และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือผู้เขียนต้องเข้าใจแรงจูงใจที่จะทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการ (Buying Motive) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “แรงกระตุ้นทางด้านอารมณ์”
เพราะถ้ายิ่งเราเขียนได้จี้ตรงจุด pain point ของลูกค้าได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่สินค้าของเราจะขายได้ ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะคนเราเวลาจะซื้อของมักใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลเสมอ
สรุปคือ ถ้าคุณรู้จักลูกค้าของคุณอย่างท่องแท้ รู้จุดกระตุ้นอารมณ์ของเค้า และรู้จักใช้คำที่สื่อความหมายได้อย่างชัดเจน copy ของคุณก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นครับ
Content Writing คืออะไร
เรามักจะเรียกทับศัพท์ว่า การเขียนคอนเทนต์ ซึ่งถ้าจะให้ผมอธิบายให้เข้าใจง่าย มันก็คือ งานเขียนที่เน้นการนำเสนอตัวเนื้อหาเป็นหลัก นั่นเองครับ
ลักษณะทั่วไป
งานเขียนประเภทนี้มักอยู่ในรูปแบบ Long Form เช่น บทความ, ข่าว, Blog, ebooks, Whitepaper ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานเขียนเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร หรือให้ความรู้
เป้าหมาย
เป้าหมายของการใช้ Content Writing ในการทำธุรกิจ คือ เพื่อสร้างความสัมพันธ์หรือสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า เพื่อสร้างความน่าเชื่อ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ หรือ เพื่อให้ข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ รวมไปจนถึงเพื่อสรรหาคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของเราครับ (Lead Generation)
>Skill ที่ต้องมีในการเขียน content
อันที่จริงคนเขียน content สามารถเป็นใครก็ได้ที่มีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่เขียน
แต่ก็จะดีมากๆถ้าคนเขียนมีทักษะในการสื่อสาร มีความสามารถในการอธิบาย เป็นนักเล่าเรื่องที่ดี และมีความเข้าใจในการการวางโครงเรื่องให้เหมาะสม โดยเน้นการลำดับความให้ผู้รับสารเกิดความสนใจ และอยากติดตามสิ่งที่เรากำลังสื่อสาร มากกว่ากระตุ้นให้เค้ามาซื้อ
#สรุปคือ ในทางธุรกิจ งานเขียนประเภทนี้ มักใช้เพื่อสร้างการรับรู้ สนับสนุนการตัดสินใจ และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ ผู้เขียนจึงควรที่พยายามสื่อสารตัวตนและภาพลักษณ์ของแบรนด์ผ่านคอนเทนต์ออกมาให้ได้ แม้ว่าในคอนเทนต์นั้นๆ “จะไม่ได้เอ่ยถึงชื่อแบรนด์เลยก็ตาม”
ยกตัวอย่างเช่น
หากคุณเป็นเจ้าของคลินิกเสริมความงาม และคุณเขียนบทความให้ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมในรูปแบบต่างๆ
ถ้าคุณทำออกมาได้ดี คอนเทนต์ของคุณจะสามารถสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือของคลีนิคได้เองโดยอัตโนมัติ เป็นการช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังเป็นการให้ข้อมูลกับลูกค้าที่มีความสนใจ ทำให้เค้าเข้าใกล้การตัดสินใจมากขึ้นอีกด้วย
สรุป Copywriting VS Content Writing อาชีพไหนดีกว่ากัน
อ่านมาถึงตรงนี้ ผมคิดว่าทุกท่านคงพอจะเห็นความแตกต่างของงานเขียนทั้งสองแบบนี้แล้วใช่มั้ยครับ คราวนี้เราลองกลับมาถามตัวเองกันดูว่า ทุกวันนี้ เราใช้งานเขียนแบบไหนในการทำธุรกิจกันอยู่? Copywriting หรือ Content Writing? ถ้าถามผมว่าแบบไหนมันเวิร์คกว่ากัน?
คำตอบคือ “ไม่มีอันไหนเวิร์คกว่าครับ” คุณควรใช้ทั้งสองแบบควบคู่กันไปถึงจะดีที่สุด แต่สัดส่วนจะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจด้วยนะครับ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆว่า ถ้าคุณอยากสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์คุณมาก่อนเลย การเขียน copywriting ยิง Ad ไปขายสินค้าให้เค้าแบบโต้งๆ อาจดูไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
คุณอาจเริ่มสร้างการรับรู้ในแบรนด์ให้กับเค้าก่อน ผ่านบทความให้ความรู้ที่ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการขายสอดแทรกอยู่ พอเราเห็นแล้วว่าเค้าสนใจ ค่อยจัด copy โฆษณาดีๆ ไปให้เค้าอ่านเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้ออีกที
หรือแม้กระทั่งในคอนเทนต์ตัวเดียวกัน หากคุณเขียน content writing แต่สามารถที่จะใส่เสน่ห์ของ copywriting ลงไปผสมผสานกันได้ ก็จะทำให้งานเขียนของคุณดูมีความน่าติดตาม และกระตุ้นการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยล่ะครับ
สุดท้ายนี้สิ่งที่อยากฝากไว้คือ “การเขียน” เป็น skill ที่ต้องฝึกฝนและใช้ประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเขียนเพื่อใช้ในการทำธุรกิจ คุณจะต้องทำความเข้าใจผู้รับสารหรือลูกค้าของคุณอย่างหนักหน่วง คุณจึงจะสามารถสร้างงานเขียนที่ตรงใจผู้อ่าน และก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างที่คุณต้องการได้นะครับ
เพราะฉะนั้นฝึกเขียนบ่อยๆ อ่านเยอะๆ ศึกษาลูกค้าเยอะๆ จะทำให้คุณมีงานเขียนที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ลองดูนะครับ
#MaxideaStudio
#มีประโยชน์ฝากช่วยแชร์ด้วยนะครับ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เขียนบทความ SEO อย่างไร คิดคอนเทนต์แบบไหนให้โดดเด่นและแตกต่าง
การทำ SEO คืออะไร? มีความสำคัญอย่างไรกับการตลาด
การเลือกคีย์เวิร์ด Keywords ให้เข้ากับตัวเว็บไซต์ สินค้าและธุรกิจของคุณ